ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

‘ดาราโซเฟีย’ อินฟลูเอนเซอร์สายพลังบวก ผู้เชื่อว่าทุกคนมีความสวยในแบบของตัวเอง

พูดคุยกับ โซเฟีย-ศศิกานต์ วงค์งาม อินฟลูเอนเซอร์ผู้ใช้ Tiktok สื่อสารประเด็นสังคมอย่างจริงใจ

Yokploy Chandrabha
การโฆษณา

ในยุคที่โลกโซเชียลหมุนไปอย่างรวดเร็ว และ TikTok ได้กลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่ให้ใครก็ได้ลุกขึ้นมาพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อ หนึ่งในเสียงที่โดดเด่นและทรงพลังที่สุด คือเสียงของ ‘โซเฟีย–ศศิกานต์ วงค์งาม’ หรือที่หลายๆ คนรู้จักเธอในนาม ‘ดาราโซเฟีย’ อินฟลูเอนเซอร์สาวที่กล้าใช้ความจริงใจและอารมณ์ขันสะท้อนมุมมองต่อสังคมอย่างไม่กลัวคำวิจารณ์ 

จากนางแบบวัยรุ่น สู่บทบาทของผู้เป็นแม่ และเจ้าของธุรกิจ ที่ใช้ TikTok ไม่เพียงเพื่อสร้างรอยยิ้ม แต่ยังเป็นพื้นที่พูดคุยในเรื่องที่หลายคนไม่กล้าพูด ทั้งประเด็น Beauty Standard ความเท่าเทียม และประเด็นทางสังคมอื่นๆ อีกมากมาย เสียงของเธอได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงจำนวนมากกล้าที่จะ รักและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

วันนี้ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับโซเฟียอย่างใกล้ชิด ถึงเรื่องราวชีวิต เส้นทางการทำคอนเทนต์ที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วประเทศ และมุมมองต่อสังคมในโลกออนไลน์ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ‘ความสวย’ สำหรับเธอ ไม่ได้อยู่ที่หน้าตา แต่อยู่ที่การกล้าเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

จากนางแบบวัยรุ่นสู่คอนเทนต์ครีเอเตอร์

เส้นทางของดาราโซเฟียเริ่มต้นตั้งแต่อายุเพียง 15–16 ปี จุดเริ่มต้นนั้นเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายจากวันหนึ่งที่เธอไปกินพิซซ่ากับเพื่อน และบังเอิญได้พบกับเจ้าของร้านซึ่งมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง เขาจึงชวนให้โซเฟียลองไปถ่ายแบบด้วยกัน ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่พาเธอก้าวเข้าสู่วงการนางแบบอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นเธอก็เริ่มส่งคอมการ์ดไปตามงานต่าง ๆ ได้รู้จักผู้คนในแวดวงแฟชั่นมากขึ้น และเริ่มมีผลงานการถ่ายแบบออกมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเวลาผ่านไป โซเฟียค่อยๆ ขยับจากโลกของแฟชั่นเข้าสู่โลกออนไลน์ โดยเลือก TikTok เป็นพื้นที่ใหม่ในการเล่าเรื่องราวของตัวเอง ช่วงแรกๆ คอนเทนต์ของเธอมีความหลากหลาย ทั้งคลิปเต้น ตลกขบขัน หรือแม้แต่พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับเชื้อชาติและสีผิวอย่างตรงไปตรงมา แต่เมื่อฐานผู้ติดตามเริ่มขยายใหญ่ขึ้น โซเฟียก็เริ่มใช้พื้นที่นี้ในการพูดถึง ประเด็นสังคม ที่เธอให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสวยในแบบของตัวเอง มาตรฐานความงาม หรือมุมมองต่อบทบาทของผู้หญิงในสังคม

การเปลี่ยนผ่านจากนางแบบสู่คอนเทนต์ครีเอเตอร์ไม่เพียงทำให้โซเฟียได้แสดงตัวตนมากขึ้น แต่ยังทำให้เสียงของเธอกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคนกล้าที่จะ ยอมรับและภูมิใจในความเป็นตัวเอง

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

TikTok พื้นที่ในการสื่อสารและแสดงความเป็นตัวเอง

โซเฟียเล่าว่า เธอเป็นคนที่ชอบ ‘พูด’ มาตั้งแต่เด็กๆ หากย้อนกลับไปในช่วงประถม เธอมักจะรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ เพื่อถ่ายคลิปเล่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การแสดง หรือพูดคุยกันสนุกๆ 

‘เฟียจะมีกลุ่มเพื่อนตั้งแต่สมัยที่ยังใช้โทรศัพท์ซัมซุงที่กล้องยังไม่ค่อยดี เราก็จะอัดคลิปกันแล้วก็ทำการแสดง ร้องเพลง เฟียเป็นแบบนั้นตั้งแต่เด็กเลย แต่เวอร์ชันที่เราโตแล้วเราก็ต้องมีความคิดที่มันคิดไตร่ตรองมากขึ้นจะไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราอยากจะพูดอะไรก็พูด’ 

เมื่อโตขึ้น โซเฟียเริ่มใช้เหตุผลและมุมมองที่ลึกซึ้งกว่ามากในการพูด เธอเลือก TikTok เป็นพื้นที่ในการสื่อสาร เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้พูดคุยและรับฟังกันอย่างตรงไปตรงมา ที่สำคัญคือ TikTok ทำให้เธอสามารถเข้าถึงผู้คนหลากหลายกลุ่มได้ง่ายและรวดเร็ว เธอมองว่าไม่จำเป็นต้องเป็นนักข่าวหรือคนดังถึงจะมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นในประเด็นสังคม

‘ทุกครั้งที่พูดเรื่องประเด็นสังคม มันทำให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันได้ รู้สึกว่ามันคือการคุยกันของประชาชนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ฟังจากข่าว’

สำหรับโซเฟีย การใช้เสียงของตัวเองใน TikTok ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความดัง แต่เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยน และเข้าใจมุมมองของกันและกันในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

ความมั่นใจ รากฐานสำคัญที่สร้างจากครอบครัว

โซเฟียเล่าว่าความมั่นใจของเธอไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะบุคลิกส่วนตัวเท่านั้น แต่เป็นผลมาจาก สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูในครอบครัวที่หล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก เธอเติบโตมาในชุมชนเล็กๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดี 

‘ทุกคนในซอยเราจะรู้จักกัน หลังเลิกเรียนเฟียก็จะใส่รองเท้าส้นสูง แล้วก็เตรียมเปิดคอนเสิร์ตในซอยบ้านเพราะฉะนั้นคนที่นั่นเขาก็จะเห็นจนชิน เรียกว่าซัพพอร์ตทุกๆ ทาง ทั้งบอกให้ไปประกวดรายการนั้นรายการนี้ ยิ่งไปกว่านั้นแม่ก็ให้ความมั่นใจเรามาเหมือนกัน แม่จะบอกเสมอว่า ถ้าเกิดมีใครว่าหรือแกล้งให้เราทำกลับสองเท่า อย่าไปยอม’

คำสอนนี้ได้กลายเป็นเกราะป้องกันทางอารมณ์ที่ทำให้เธอก้าวผ่านคำวิจารณ์และความกดดันต่างๆ ได้อย่างมั่นคง สำหรับโซเฟีย ความมั่นใจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่มันคือสิ่งที่ค่อยๆ สร้างขึ้นในทุกวัน จากครอบครัวที่เข้าใจ สิ่งแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้เธอได้แสดงออก และความรักที่ทำให้เธอกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองในทุกช่วงเวลาของชีวิต

จากประเด็นดราม่า สู่คลิปไวรัลที่พูดแทนใจใครหลายคน'

เมื่อถามถึงประสบการณ์การเจอกับคอมเมนต์แรงๆ หรือดราม่าบนโลกออนไลน์ โซเฟียหัวเราะเบาๆ ก่อนเล่าว่า แน่นอนว่าเคย โดยเฉพาะช่วงที่พูดถึงเรื่อง Beauty Standard ที่กลายเป็นคลิปไวรัลในเวลาต่อมา 

‘แทนที่จะโต้กลับด้วยความโกรธ เธอเลือกตอบกลับด้วยอารมณ์ขัน เพราะเราคิดในใจว่าถ้าจะตอบกลับคนแบบนี้ ต้องใช้มุกตลกแทนการโต้แรงๆ เพราะเรารู้ว่าเขาขึ้นมาปั่นหัวเรา ถ้าเราไปซีเรียสก็เท่ากับว่าแพ้เกมเขา’

ซึ่งแนวทางนี้เองกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคลิปไวรัลที่พูดถึง Beauty Standard อย่างมีอารมณ์ขันและความมั่นใจโซเฟียอธิบายว่า เหตุผลที่ตัดตอนหนึ่งของคลิปนั้นมาลง TikTok เพราะผู้ชายคนดังกล่าวพูดว่า ‘พี่โซเฟียไม่ตรง Beauty Standard ผู้ชายไทย’ เธอจึงรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะพูดถึงประเด็นนี้ในมุมของตัวเอง 

‘จริงๆ เฟียไม่ค่อยพูดเรื่อง Beauty Standard บ่อย ส่วนใหญ่จะพูดเรื่องสังคมหรือประเด็นเชิงความคิดอื่นๆ มากกว่า แต่ครั้งนี้เรารู้เลยว่ามันคือจุดที่ควรพูด เพราะมันสะท้อนมุมมองของคนในสังคมได้ชัดมาก’

ในที่สุด คลิปนั้นก็กลายเป็นไวรัลไปทั่วทั้ง TikTok และกลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการรับมือกับดราม่าอย่างชาญฉลาด ด้วยอารมณ์ขันและความเข้าใจในมนุษย์ มากกว่าการปะทะกันด้วยอารมณ์

จากคลิปไวรัลเรื่อง Beauty Standard ที่พูดถึงมาตรฐานความสวยในสังคม จนมียอดเข้าชมกว่า 14.8 ล้านครั้ง โซเฟียยังคงใช้เสียงของตัวเองพูดในประเด็นที่เธอเชื่อว่าควรถูกหยิบยกขึ้นมา และหนึ่งในนั้นคือเรื่อง ‘เด็กแต่งตัวเกินวัย’ ประเด็นที่กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์

‘เรื่องมันเกิดจากการที่เราเลื่อนดูโซเชียลแล้วเห็นคลิปเด็กหลายคลิปที่ไวรัล มียอดวิวสูง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อย เราเลยรู้สึกว่าควรพูดถึง เพราะเรามีลูกสาวด้วย ถ้าเราพูดเรื่องนี้ออกมา มันอาจทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนได้คิดว่าก็จริงนะ เพราะโลกออนไลน์มันไม่ได้มีแค่ด้านดีอย่างเดียว’

โซเฟียอธิบายต่อว่า โลกออนไลน์มีด้านที่ผู้ใหญ่หลายคนอาจไม่ทันมองเห็น โดยเฉพาะอันตรายจากกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเด็ก ด้านที่มืดมันเยอะกว่าที่เราเห็นในข่าว การที่พ่อแม่โพสต์ภาพลูกแต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อย มันอาจดูน่ารักในมุมหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งรูปเหล่านั้นจะอยู่บนโลกออนไลน์ตลอดไป และเราไม่รู้เลยว่าใครจะเอาไปใช้ทำอะไร”

แม้จะมีทั้งคนเห็นด้วยและคนเห็นต่าง แต่โซเฟียยืนยันว่าความตั้งใจของเธอคือการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น 

‘เราตั้งใจให้คอนเทนต์เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิด เพราะความเห็นของคนเราไม่มีใครถูกหรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ การฟังมุมมองของคนอื่นเป็นโอกาสให้เราเรียนรู้เหมือนกัน’

เธอยกคำพูดภาษาอังกฤษที่ชอบว่า ‘Put yourself in someone else’s shoes’ — ลองสวมรองเท้าของคนอื่นดู เพื่อเข้าใจมุมมองของเขา เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่อาจพลาดไป ในฐานะคุณแม่ โซเฟียเชื่อว่าการพูดเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรเพราะมันอาจช่วยให้พ่อแม่หลายคนตระหนักถึงความปลอดภัยของลูกในยุคโซเชียล ‘เราเป็นแม่คนแล้ว ลูกเราก็เป็นลูกสาว เราเลยรู้สึกว่าต้องพูดเรื่องนี้ และอยากให้ทุกอย่างมันเหมาะสมมากขึ้น’

คอนเทนต์ไม่ตามเทรนด์ แต่เน้นเล่าเรื่องรอบตัว

โซเฟียเล่าว่าเธอไม่ได้ทำคอนเทนต์ตามเทรนด์ทุกครั้ง แต่จะสังเกตสิ่งรอบตัวและหยิบเรื่องที่รู้สึกว่าน่าสนใจ หรือเรื่องที่น่าจะสร้างการถกเถียงในกลุ่มผู้ชมมาพูด ทำให้คลิปแต่ละชิ้นที่ออกไปเป็นสิ่งที่กลั่นกรองมาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่การคาดหวังผลลัพธ์ล่วงหน้า แต่เป็นการแชร์มุมมองของเธอเองอย่างแท้จริง

‘บางครั้งถ้าเกิดเรานั่งๆ อยู่แล้วเห็นอะไรที่มันรู้สึกว่าเอ๊ะ เรื่องนี้ถ้าเราพูดมันน่าจะมีคนเข้ามาถกเถียงกันก็จะยกมาพูด เราจะสังเกตจากสิ่งรอบๆ ตัวแล้วก็หยิบประเด็นคิดว่าน่าสนใจ ก็จะเอามาทำเป็นคลิปวีดิโอ ไม่เคยทำคลิปแบบว่าคาดหวังเลยค่ะ’

บทเรียนครั้งสำคัญ ลดอีโก้และกลั่นกรองก่อนโพสต์

โซเฟียเล่าว่ามีหลายคลิปที่เธอทำแล้วเป็นบทเรียนสำคัญ โดยเฉพาะคลิปเกี่ยวกับ ‘นางเงือกผิวดำ’ ของดิสนีย์ ตอนนั้นเธออายุประมาณ 22 ปี 

‘พอทำคลิปมาแล้วปรากฎว่าคอมเมนต์ก็คือโดนถล่มโดนดราม่าเลย แล้วตอนนั้นด้วยความที่เราอีโก้สูงมากไม่รับฟังความเห็นต่างทั้งสิ้น เราก็ตอบกลับคอมเมนต์แบบไม่ดี แล้วพอเรากลับไปดูในวิดีโอแล้วรู้สึกว่า เราอีโก้สูงเหมือนกันนะ วิดีโอนี้เป็นวิดีโอที่สอนเฟียได้เยอะมากในการใช้โซเชียลมีเดีย ว่าเราก็ต้องกลั่นกรองและต้องลดอีโก้ลงมาด้วย เพราะเราไม่ได้รู้ทุกอย่างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือควรหาข้อมูลก่อนที่เราจะทำวิดีโอ’

‘การทำโซเชียลมันมีสองด้านอยู่แล้ว มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เราไม่ควรโกรธเขา แต่ควรคิดวิเคราะห์และยอมรับ’

ช่วงเวลาที่ท้าท้ายในการทำคอนเทนต์

‘ยากที่สุดน่าจะเป็นช่วงเวลาการตัดวิดีโอค่ะ เพราะเฟียก็แค่ตั้งกล้องแล้วก็พูดไปเลยยาวๆ สองสามนาที แล้วก็มาตัด มีคำพูดไหนที่เรารู้สึกว่าคนฟังแล้วมันจะต้องเอ๊ะแน่นอนเราก็ตัดออก แล้วก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ รู้สึกว่าเราต้องผ่านกระบวนการคิดและมั่นใจว่ามันไม่ได้มีอะไรที่มันจะไปถูกจิตใจของคนอื่น

จุดแข็งของช่อง: ความมั่นใจและสไตล์การเล่าเรื่องที่ดึงดูดทุกวัย

‘เฟียคิดว่าน่าจะเป็นลักษณะการพูดแล้วก็ความมั่นใจ ที่น่าจะเป็นจุดแข็งมากที่สุดที่ทำให้คนเข้าอยากเข้ามาดูเรา ส่วนประเด็นหรือสิ่งที่เราพูดก็อาจจะมีส่วนด้วย บางทีมันก็สลับกันไป เพราะส่วนใหญ่คนที่มาดูก็มีทั้งกลุ่มผู้ใหญ่และกลุ่มเด็กๆ ที่เข้ามาติดตาม

ถ้าตอนนี้หลักๆ คนดูส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัยรุ่นรีเจนซี’

ธุรกิจไอศกรีมและการสื่อสารตัวตนผ่านคอนเทนต์

นอกจากการทำคอนเทนต์ โซเฟียยังมีธุรกิจไอศกรีมกับสามีที่ชื่อว่า ‘Freshy Water Ice’ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเธอรับผิดชอบด้านมาร์เก็ตติ้งและคอนเทนต์ ส่วนสามีดูแลการจัดการร้านเต็มตัว เธอย้ำและให้เครดิตแฟนเต็มร้อย ส่วนตัวเองโฟกัสทั้งงานคอนเทนต์ การตลาด และการเลี้ยงลูก แม้ว่าธุรกิจนี้จะดูต่างจากการพูดเรื่องสังคม แต่โซเฟียปรับโทนคอนเทนต์ให้เข้ากับสินค้า ขนมหวานคัลเลอร์ฟูลและสนุกสนาน แต่ท้ายที่สุดก็ยังสะท้อนตัวตนและสไตล์ของเธอผ่านการสื่อสารบนโลกออนไลน์

ความสุขจากการสร้างรอยยิ้มและพลังบวก

สิ่งที่ทำให้โซเฟียมีความสุขที่สุดในการทำคอนเทนต์คือการทำให้คนอื่นหัวเราะและมีรอยยิ้ม เธอเล่าว่าตั้งแต่เด็กๆ ชอบทำให้คนรอบตัวหัวเราะ ‘อย่างที่เคยพูดนะคะตอนเด็กๆ เวลาอยู่ในซอยบ้านเฟียก็จะใส่รองเท้าส้นสูงเดินไปมา แล้วก็มีคนพูดว่าลองไปประกวดอันนั้นสิ เราก็จะรู้สึกแฮปปี้เวลาที่คนอื่นเขามีความสุข เพราะเราชอบส่ง Positive Energy ให้คนอื่นอยู่แล้ว’ และนี่คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เธอสร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

มุมมองต่อความมั่นใจและความสวยในแบบของตัวเอง 

ศศิกานต์ วงค์งาม
Photograph: ศศิกานต์ วงค์งาม

เมื่อมองตัวเองในวันนี้ ‘โซเฟียคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มั่นใจขึ้นมาก กล้าพูด กล้าฟัง และกล้าเรียนรู้จากความผิดพลาด สำหรับเธอความมั่นใจไม่ได้หมายถึงการต้องเป็นคนถูกเสมอ แต่คือการกล้าที่จะเป็นตัวเองโดยไม่เปรียบเทียบกับใคร อยากให้ลองถามตัวเองว่าการทำตาม Beauty Standard นั้นทำไปเพื่อใคร เพื่อความพอใจของตัวเองหรือเพื่อคนอื่น เพราะความสวยที่แท้จริงอยู่ที่ความคิดของเรา’ โซเฟียทิ้งท้ายไว้ด้วยข้อคิดที่ทรงพลังว่า’

‘ความสวยก็เหมือนดอกไม้ แต่ละดอกมีความงามต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ทุกคนก็สวยในแบบของตัวเอง’
เรื่องเด่น
    บทความล่าสุด
      การโฆษณา